วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550

จอ LCD คืออะไร?

จอ LCD คืออะไร ?เทคโนโลยีมอนิเตอร์ LCD ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นจอแสดงผลแบบ (Digital ) โดยภาพที่ปรากฏขึ้นเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟด้านหลังของจอภาพ (Black Light) ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปยัง คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียวและแสงสีนํ้าเงิน กลายเป็นพิกเ:ซล (Pixel) ที่สว่างสดใสเกิดขึ้น
เทคโนโลยีที่พัฒนามาใช้กับ LCD นั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
Passive Matrix หรือที่เรียกว่า Super-Twisted Nematic (STN) เป็นเทคโนโลยีแบบเก่าที่ให้ความคมชัดและความสว่างน้อยกว่า ใช้ในจอโทรศัพท์มือถือทั่วไปหรือจอ Palm ขาวดำเป็นส่วนใหญ่
Active Matrix หรือที่เรียกว่า Thin Film Transistors (TFT) สามารถแสดงภาพได้คมชัดและสว่างกว่าแบบแรก ใช้ในจอมอนิเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ก
เทคโนโลยี TFT LCD Mornitor
TN + Film (Twisted Nematic + Film)Twisted Nematic (TN) คือสารประเภทนี้จะมีการจัดโครงสร้างโมเลกุลเป็นเกลียว แต่ถ้าเราผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปมันก็จะคลายตัวออกเป็นเส้นตรง เราใช้ปรากฏการณ์นี้เป็นตัวกำหนดว่าจะให้แสงผ่านได้หรือไม่ได้ Twisted Nematic (TN) ผลึกเหลวชนิดนี้จะให้เราสามารถเปลี่ยนทิศทางการสั่นของคลื่นแสงได้ 90? ถึง 150? คือเปลี่ยนจากแนวตั้งให้กลายเป็นแนวนอน หรือเปลี่ยนกลับกันจากแนวนอนให้เป็นแนวตั้งก็ได้ ด้วยจุดนี้เอง

What is LCD?

Short for liquid crystal display, a type of display used in digital watches and many portable computers. LCD displays utilize two sheets of polarizing material with a liquid crystal solution between them. An electric current passed through the liquid causes the crystals to align so that light cannot pass through them. Each crystal, therefore, is like a shutter, either allowing light to pass through or blocking the light.
Monochrome LCD images usually appear as blue or dark gray images on top of a grayish-white background. Color LCD displays use two basic techniques for producing color: Passive matrix is the less expensive of the two technologies. The other technology, called thin film transistor (TFT) or active-matrix, produces color images that are as sharp as traditional CRT displays, but the technology is expensive. Recent passive-matrix displays using new CSTN and DSTN technologies produce sharp colors rivaling active-matrix displays.
Most LCD screens used in
notebook computers are backlit, or transmissive, to make them easier to read

Pecification


กลับมาอีกครั้ง หลังจากห่างหายจากการ Review ไปพักใหญ่ ความจริงต้องขอสารภาพว่า ได้รับโน้ตบุ๊ครุ่นนี้มานานแสนนาน แต่ว่าติดขัดบางประการ เลยไม่ได้อัพขึ้นเว็บเสียทีสำหรับ Acer Aspire 5674WLMi จัดเป็นโน้ตบุ๊ตประเภท Desktop Replacement ที่ใช้ซีพียูจาก Intel รุ่นใหม่ล่าสุดที่เป็น Core Duo ความเร็วสูงถึง 2.0 GHz ซึ่งนับเป็นรุ่นที่มีความเร็ว CPU สูงสุดขณะนี้ และก็จัดเป็นรุ่นท๊อปของ Acer ทีมีราคาแพงไม่ใช่เล่นทีเดียว มาดูสเปคกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

Pecification



Intel Core Duo Processor T2500 (2.0GHz, 2MB L2 cache, 667MHz FSB) Intel 945PM Express Chipset Integrated Intel Pro/Wireless 3945BG2048MB DDR2-533 (Max 4GB)100GB SATA HDDATI Mobility Radeon X1400 512MB HyperMemory15.4 inch WXGA Acer CrystalBrite TFT LCD (1280x800 pixel)S-Video Out, DVI-DSlot-load DVD-Super Multi double layer 5-in-1 card reader56K Fax/Modem 10/100/1000Mbps LAN Integrated Bluetooth™ 2.0ExpressCard/34 slot Acer OrbiCam integrated 1.3 megapixel CMOS cameraLi-Ion Battery (Avg 3.5 hrs. battery life)Weight 3.0 kg.Microsoft® Windows® XP Pro1 year warranty (International)

Build & Design


รูปทรงของ Acer Aspire 5674 มาในสไตล์สีเงินตัดกับสีดำ น้ำหนักค่อนข้างมาก (3 กิโลกรัม) โดยรวมๆ แล้วจัดว่าสวยงามใช้ได้ตามสไตล์ Acer การประกอบอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่วัสดุที่เคลือบด้วยสีเงินเป็นรอยได้ง่ายพอสมควร ดังนั้นเวลาพกพาไปไหน ควรใส่ซองอ่อนป้องกันรอยขีดข่วนไว้ด้วยจะช่วยได้มาก ความแน่นหนาของฝาพับและข้อต่อ จัดว่าใช้ได้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ด้านหน้าจัดวางลำโพงไว้ พร้อมช่อง Audio in, Audio out และมีปุ่มเปิดปิด Bluetooth, Wireless LAN พร้อมทั้ง Card Reader ด้านซ้ายขวามีพอร์ต USB ด้านละ 2 พอร์ต สะดวกต่อการใช้งานมาก ที่แปลกจากชาวบ้านก็คือ ไดร์ว DVD กลับไปอยู่ทางซ้าย ส่วนพัดลมระบายความร้อนอยู่ทางขวา ทำให้ถ้าใครใช้เมาส์แล้วถนัดขวา อาจได้รับลมร้อนจากช่องระบายความร้อนได้ ที่น่าสนใจโน้ตบุ๊ครุ่นนี้มีพอร์ต DVI มาให้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะต่อจอภาพ LCD ที่ใช้พอร์ต DVI จะสะดวกมากข้อสังเกตที่รู้สึกได้มากๆ คือความร้อนของโน้ตบุ๊คที่จัดว่า “โครตร้อน” โดยเฉพาะบริเวณที่วางมือใต้คีย์บอร์ด และบริเวณ Touchpad ที่เมื่อเวลาใช้งานหนักๆ แล้ว ความร้อนจะถูกส่งออกมาทางทัชเพด จนปลายนิ้วผมทนแทบไม่ได้ทีเดียว

Build & Design


The Design-Build (DB) Knowledge Community is the recognized voice for the advancement of best practices related to the architect's role in the design-build process.
If you wish to become involved with the Design-Build Knowledge Community, call AIA's Member Services, 800-242-3837, and ask to designate Design-Build as one of your knowledge communities.

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2550

จากนี้จะมารู้จักพลังงานและชื่อของมัน

เปรียบเทียบขนาดของจอแบบเรืองแสงของคอมพิวเตอ์กับดินสอและคุณเห็นมันเล็กอย่างไร?
นี่คือตัวอย่างของจอเรืองแสงแสดงผลใช้กับความเย็นของหลอด (CCFL) กับการกลับของแสง สิ่งแรกของหลอดเล็กๆ สามารถจัดความสว่างเป็นแสงสีขาว
แหล่งกำเนิดของแสงทำให้แสงกระจายไปข้างหลังจอเรืองแสง การเพิ่มของแสงมีเพียงพอสำหรับระยะไกลๆ ที่อยู่ข้างหน้าจอตามอุณหภูมิและทำออกมาดีเยี่ยม
นับแต่นั้นมาแหล่งกำเนิดของแสงสามารถปิดได้เอง ส่วนประกอบอื่นๆเสื่อมสภาพได้ เมื่อเจอกับความร้อนบางอย่างน่าอัศจรรย์มาก เกี่ยวกับหลอดและน่าเหลือเชื่อ
กับขนาดของมัน พวกเราว่ามันมีขนาดบางมากและมีกระดานของหลอดที่เล็กมากๆ และดีมาก
อย่างไรก็ตาม มันไม่ทนต่อการแตกหักและเมื่อมันแตกร้าวจอมันอาจจะดับและมืดลงได้ และจะหยุดการสว่างของจอด้วยและเมื่อมีการเชื่อมโยงกัน
บางทีอาจจะใช้รายการความจุของหลอด (ผลึกของเหลวจะแสดง) และอยู่รอบๆของจอ LCD และนี่คือตัวอย่างของ LCD คอมพิวเตอร์,ดิจิตอล,นาฬิกาและนาฬิกาข้อมูล ตู้อบไมโครเวฟ เครื่องเล่น CD และเครื่องมือเครื่องไช้ที่เกี่ยวกับอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็น LCD

Compare the size of this fluorescent tube from a laptop.


computer to the pencil beside it and you see how tiny it is.
A typical laptop display uses a tiny Cold Cathode Fluorescent Lamp (CCFL) for the backlight. One of these small tubes is able to provide a bright white light source that can be diffused by the panel behind the LCD. In addition to providing ample light, CCFLs do not rise far above the ambient temperature. This makes them ideal for LCD panels since the light source is in close proximity to other components that could be ruined by excessive heat.
One amazing thing about these lamps is their incredible size. They are very thin and the board that drives the lamp is very small as well. However, it is not that hard to break them, which is why your display may go dark if you drop your laptop
.

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2550

LCD ในจอหน้าต่างคอมพิวเตอร์จะสว่างได้เท่าไร?

คอมพิวเตอร์ส่วนมากจะแสดงผลึกของเหลว(LCD)ในข้างหน้าบานประตู มันสร้างความสว่างในหลอดเรืองแสง,และบางเวลาจะสว่างข้างหลังของ LCD
แสงสีขาวจะแพร่กระจายเท่ากับ LCD และจะกระจายแสงแสดงแบบเดียวกันหมด
รู้หรือไม่เกี่ยวกับแสง?
หลอดเรืองแสง เป็นหลอดที่ดีที่สุดและใช้งานได้ระยะเวลายาวขึ้นไป หลอดแก้วสีขาว ข้างในหลอดแก้วมีแรงดันต่ำเป็นไอเปร่งออกไป คือแสงอุลตร้าไวโอเลต
ตาของมนุษย์ไม่สามารถทนต่อแสงอุลตร้าไวโอเลตได้(แม้กระทั่งผิวหน้าของมนุษย์ก็ตาม) ข้างในของหลอดเรืองแสงมีชุดคุมเอาไว้สสารนั้นสามารถรับเอาพลังงานในรูปของเงาและเปร่งพลังงานออกมาในรูปที่เห็นได้ชัดเจน

How is the LCD in a laptop computer so bright?

Most computer Liquid Crystal Display (LCD) panels are lit with built-in fluorescent tubes above, beside and sometimes behind the LCD. A white diffusion panel behind the LCD redirects and scatters the light evenly to ensure a uniform display. This is known as a backlight.
A fluorescent light is most often a long straight glass tube that produces white light. Inside the glass tube there is a low-pressure mercury vapor. When ionized, mercury vapor emits ultraviolet light. Human eyes are not sensitive to ultraviolet light (although human skin is). The inside of a fluorescent light is coated with phosphor. Phosphor is a substance that can accept energy in one form and emit the energy in the form of visible light. For example, energy from a high-speed electron in a TV tube is absorbed by the phosphors that make up the pixels. The light we see from a fluorescent tube is the light given off by the phosphor coating the inside of the tube. The phosphor fluoresces when energized, hence the name.

การรักษาฟัน

บางคนมีฟันหน้าบนสึกมากเหลือแค่ครึ่งซี่ มาปรึกษาทันตแพทย์ถึงวิธีการรักษาฟันสึกในลักษณะฟันหน้าบนสึกไปครึ่งซี่ แสดงให้เห็นว่ามีการใช้ฟันบดเคี้ยวไม่ถูกต้อง เช่น การเคี้ยวอาหารหรือสิ่งของที่แข็ง ๆ เป็นประจำ การเคี้ยวอาหารที่ใช้แรงบดเคี้ยวมาก การได้รับรังสีบำบัดรักษามะเร็งบริเวณศีรษะและคอ อาชีพบางอาชีพหรือแม้กระทั่งอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มีสารกัดกร่อนฟัน ( บริเวณโรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานที่บางแห่งที่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลเสีย ) ก็ส่งผลให้เกิดฟันสึกกร่อนได้ โดยเกิดขึ้นกับคนบางคน ไม่ได้เกิดกับคนทั่ว ๆ ไป
การรักษาฟันสึกเหลือครึ่งเดียว ก่อนอื่นต้องดูว่าผู้นั้นมีปัญหากับฟันดังกล่าวหรือไม่ เคี้ยวอาหารได้ดีก็คงไม่ต้องรักษาอะไร อาจดูแค่เป็นตำแหน่ง ๆ ไป
ส่วนในกรณีที่มีฟันสึกเหลือครึ่งเดียว และมีปัญหาจากฟันที่สึก ทันตแพทย์ก็อาจต้องให้การรักษาต่อไป โดยฟันที่สามารถอุดฟันได้ก็จะอุดฟันฟันให้ ถ้าอุดฟันไม่ได้แต่สามารถเก็บฟันได้โดยการครอบฟัน โดยทั่ว ๆ ไปอาจต้องแก้ไขทั้งปาก โดยการทำฟันครอบและยกระดับฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง โดยการครอบฟันทุกซี่ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงและฟันบางซี่อาจต้องถอนออก และใส่ฟันให้ใหม่ด้วย
ดังนั้น สาเหตุของฟันสึกมีหลายปัจจัย การแก้ไขที่มีหลายวิธี จึงควรปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อพิจารณาการรักษาเป็นราย ๆ ไป

Relationship to computer hardware

Computer software is so called in contrast to computer hardware, which encompasses the physical interconnections and devices required to store and execute (or run) the software. In computers, software is loaded into RAM and executed in the central processing unit. At the lowest level, software consists of a machine language specific to an individual processor. A machine language consists of groups of binary values signifying processor instructions (object code), which change the state of the computer from its preceding state. Software is an ordered sequence of instructions for changing the state of the computer hardware in a particular sequence. It is usually written in high-level programming languages that are easier and more efficient for humans to use (closer to natural language) than machine language. High-level languages are compiled or interpreted into machine language object code. Software may also be written in an assembly language, essentially, a mnemonic representation of a machine language using a natural language alphabet. Assembly language must be assembled into object code via an assembler.
The term "software" was first used in this sense by John W. Tukey in 1958.[2] In computer science and software engineering, computer software is all computer programs. The concept of reading different sequences of instructions into the memory of a device to control computations was invented by Charles Babbage as part of his difference engine. The theory that is the basis for most modern software was first proposed by Alan Turing in his 1935 essay Computable numbers with an application to the Entscheidungsproblem.

Dot Matrix Printer

A dot matrix printer or impact matrix printer refers to a type of computer printer with a print head that runs back and forth on the page and prints by impact, striking an ink-soaked cloth ribbon against the paper, much like a typewriter. Unlike a typewriter or daisy wheel printer, letters are drawn out of a dot matrix, and thus, varied fonts and arbitrary graphics can be produced. Because the printing involves mechanical pressure, these printers can create carbon copies and carbonless copies.

Typical output from a dot matrix printer operating in draft mode. This entire image represents an area of printer output approximately 4.5 cm x 1.5cm (1.75 x 0.6 inches) in size.
Each dot is produced by a tiny metal rod, also called a "wire" or "pin", which is driven forward by the power of a tiny electromagnet or solenoid, either directly or through small levers (pawls). Facing the ribbon and the paper is a small guide plate (often made of an artificial jewel such as sapphire or ruby [1]) pierced with holes to serve as guides for the pins. The moving portion of the printer is called the print head, and when running the printer as a generic text device generally prints one line of text at a time. Most dot matrix printers have a single vertical line of dot-making equipment on their print heads; others have a few interleaved rows in order to improve dot density.
These machines can be highly durable, but eventually wear out. Ink invades the guide plate of the print head, causing grit to adhere to it; this grit slowly causes the channels in the guide plate to wear from circles into ovals or slots, providing less and less accurate guidance to the printing wires. Eventually, even with tungsten blocks and titanium pawls, the printing becomes too unclear to read.
Although nearly all inkjet, thermal, and laser printers produce dot matrices, in common parlance these are seldom called "dot matrix" printers, to avoid confusion with dot matrix impact printers.

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550

How Laser Printers Work

The term inkjet printer is very descriptive of the process at work -- these printers put an image on paper using tiny jets of ink. The term laser printer, on the other hand, is a bit more mysterious -- how can a laser beam, a highly focused beam of light, write letters and draw pictures on paper?
In this article, we'll unravel the mystery behind the laser printer, tracing a page's path from the characters on your computer screen to printed letters on paper. As it turns out, the laser printing process is based on some very basic scientific principles applied in an exceptionally innovative way.

Hard disk

A magnetic disk on which you can store computer data. The term hard is used to distinguish it from a soft, or floppy, disk. Hard disks hold more data and are faster than floppy disks. A hard disk, for example, can store anywhere from 10 to more than 100 gigabytes, whereas most floppies have a maximum storage capacity of 1.4 megabytes.
A single hard disk usually consists of several platters. Each platter requires two read/write heads, one for each side. All the read/write heads are attached to a single access arm so that they cannot move independently. Each platter has the same number of tracks, and a track location that cuts across all platters is called a cylinder. For example, a typical 84 megabyte hard disk for a PC might have two platters (four sides) and 1,053 cylinders.
In general, hard disks are less portable than floppies, although it is possible to buy removable hard disks.
Also see What's Inside a Hard Drive? in the Did You Know . . . ? section of Webopedia.

ประโยชน์จากการดื่มน้ำ

อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง น้ำ เป็น “อาหารอันวิเศษ” ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร ต้องทำน้ำเพื่อให้ไตทำงาน ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราทานน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ต้องทำงานหนักขึ้น หน้าที่หลักของตับก็คือ ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน แต่ตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามารถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เอง จำทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และทำให้การดูแลรูปลักษณ์หยุดชะงักลงกักน้ำด้วยน้ำ การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เป็นการรักษาของเหลวไว้ได้ดีที่สุด เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อย มันจะรับรู้ว่าจะต้องรักษาความอยู่รอดไว้โดยจะต้องรักษาน้ำไว้ทุกหยด ร่างกายจะกักเก็บน้ำไว้ในที่ว่างพิเศษในโพรงเล็กๆ (ภายนอกเซลล์) ซึ่งจะเห็นได้จากอาหารบวมที่เท้า มือ และขา การขับปัสสาวะจะช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว และจะบังคับให้ร่างกายเกิดความรู้สึกว่าจะต้องมีน้ำเข้ามากักเก็บไว้พร้อมกับความต้องการสารอาหารที่สำคัญบางชนิด เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ อาการที่เกิดขึ้นก็จะหายเป็นปกติ
วิธีที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดน้ำในร่างกาย ก็คือเราจะต้องดื่มน้ำในปริมาณมากเพื่อที่ร่างกายจะมีน้ำไว้ใช้ยามขาดแคลน หากคุณมีปัญหาร่างกายขาดน้ำอาจมาจากสาเหตุที่ร่างกายได้รับปริมาณเกลือมากเกินไป ร่างกายของเราจะสามารถรับปริมาณโซเดียมได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่การกำจัดปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปเกินความต้องการนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแต่ดื่มน้ำให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะน้ำจะช่วยให้ไตขับโซเดียมออกมา คนที่มีน้ำหนักมากร่างกายต้องการน้ำมากกว่าคนผอม คนตัวใหญ่จะมีการเผาผลาญที่มากกว่า น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน น้ำยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเรามีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นหลังจากการดูแลรูปลักษณ์ เซลล์ขนาดเล็กสามารถลอยตัวอยู่ได้ด้วยน้ำทำให้ผิวหนังดูเปล่งปลั่งและสดใส ชุ่มชื้น น้ำยังช่วยกำจัดของเสีย ระหว่างการดูแลรูปลักษณ์ร่างกายจะมีของเสีย โดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็สามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้มาก น้ำช่วยบรรเทาอาการท้องผูก น้ำสามารถช่วยไม่ให้ท้องผูก หากร่างกายได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบาก ซึ่งทำให้เกิดท้องผูก แต่สามารถช่วยให้หายได้ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ ได้มีการค้นพบว่าน้ำมีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์หากได้รับน้ำไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการเผาผลาญไขมันที่สะสม หากร่างกายเก็บน้ำไว้มากจะดูได้จากการที่มีน้ำหนักเกิน แต่แก้ไขได้โดยการดื่มน้ำเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำมากขึ้นจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ? โดยเฉพาะควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆมีอาการร้อน หรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น บางหลักฐานแนะนำว่า การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญแคลลอรี่ ในการที่จะใช้ประโยชน์จากการดื่มน้ำเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดควรปฏิบัติ ดังนี้ เช้า ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง บ่าย ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง เย็น ดื่มน้ำหนึ่งควอต ระหว่างเวลา 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม เมื่อร่างกายได้รับน้ำ มันจะต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่างกายจำเป็นต้องรักษาระดับของของเหลวให้สมดุลย์ไว้ ซึ่งเรียกว่า "breakthrough Point" ซึ่งหมายถึง ต่อมเอ็นโดซีนจะสามารถทำงานได้ดีขึ้น เมื่อการรักษาระดับของเหลวในร่างกายเบาบางลงเนื้องจากสูญเสียน้ำ ไขมันจำนวนมากจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากตับมีอิสระในการทำหน้าที่เผาผลาญไขมันที่สะสม ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ รู้สึกหิวตลอดเวลา หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์ในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติคุณจะต้องดื่มน้ำจำนวนมากขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพคืออะไร
คือ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่ม หรือคงไว้ซึ่งความทนทานของระบบไหลเวียนโลหิตและปอด โดยมีขบวนการใช้ออกซิเจน ในขบวนการเผาผลาญ เพื่อให้เกิดพลังงานสำหรับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง จึงมีชื่อเรียกการออกกำลังกายชนิดนี้ว่า AEROBIC EXERCISE
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
1. ระบบไหลเวียนโลหิต
1.1 ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงมากขึ้น สามารถสูบฉีดโลหิตได้ปริมาณมากขึ้น
1.2 เพิ่มหลอดโลหิตฝอยมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น
1.3 ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งในขณะพัก และออกกำลังกาย ทำให้ไม่เหนื่อยง่าย
1.4 ลดแรงต้านทานส่วนปลายของหลอดโลหิตฝอยทำให้ความดันโลหิตลดลง ทั้งขณะพัก และออกกำลังกายลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
2. ระบบหายใจ
2.1 ความจุปอดเพิ่มขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมากขึ้น
2.2 เพิ่มปริมาณโลหิตไปสู่ปอด ทำให้การไหลเวียนของปอดดีขึ้น
2.3 เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด ทำให้ประสิทธิภาพการหายใจดีขึ้น
3. ระบบชีวเคมีในเลือด
3.1 ลดปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์(Triglyceride) จึงลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน
3.2 เพิ่ม HDL Cholesterol ซึ่งช่วยลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
3.3 ลดน้ำตาลส่วนเกินในเลือด เป็นการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน
4. ระบบประสาทและจิตใจ
4.1 ลดความวิตกกังวลและคลายความเครียด
4.2 มีความสุขและรู้สึกสบายใจจากสาร Endorphin ที่หลั่งออกมาจาก สมองขณะออกกำลังกาย
ขั้นตอนและหลักในการปฏิบัติถ้ามีอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจสุขภาพ ว่ามีโรคหัวใจหรือไม่ก่อนการออกกำลังกายชนิดนี้ ควรรู้วิธีเหยียดและยืดกล้ามเนื้อ รวมทั้งอุ่นเครื่อง (Warm up) และเบาเครื่อง (Cool down) หลักในการปฏิบัติ เป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างน้อย 1 ใน 6 ส่วนของร่างกาย ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
คำศัพท์Frequency (F) หมายถึงความถี่ในการออกกำลังกายใน 1 สัปดาห์ อย่างน้อย 3 วัน อย่างมาก 6 วันIntensity (I) หมายถึงความหนักในการออกกำลังกาย ใช้อัตราการเต้นของชีพจรเป็นเกณฑ์ ให้ได้ประมาณระหว่างร้อยละ 70-90 ของอัตราเต้นสูงสุดของหัวใจ ซึ่งสามารถคำนวนได้จากการนำอายุไปลบออกจากเลข 220ตัวอย่างเช่น ชายอายุ 20 ปี จะใช้ความหนักในการออกกำลังกายชนิดนี้เท่าใดคำตอบคือ (220-20)x 70 ถึง 90 หาร 100 เท่ากับ 140 ถึง 180 ครั้งต่อนาทีTime (T) หมายถึง ช่วงเวลาในการออกกำลังกายในแต่ละวัน อย่างน้อย 10-15 นาที ใน 6 วัน อย่างมาก 30-45 นาทีใน 3 วัน
รูปแบบการออกกำลังกายมีหลากหลายชนิดเช่น วิ่งเหยาะ, เดินเร็ว, ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นแอโรบิค, ฟุตบอล, บาสเก็ตบอล, เทนนิส, แบดมินตัน, ตระกร้อข้ามตาข่าย, วอลเลย์บอล เป็นต้น

ข้อควรระวังควรงดการออกกำลังกาย
ในขณะเจ็บป่วย มีไข้ พักผ่อนไม่พอควรออกกำลังกายก่อนอาหารหรือหลังอาหารหนักผ่านไป 3-4 ชั่วโมง และดื่มน้ำอย่างเพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนจัด หนาวจัด ฝนฟ้าคะนอง มลภาวะมากสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมควรพักหากมีอาการแน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน และไปพบแพทย์

การรักษาผิวหน้าให้ขาวใส

ปัจจุบันนี้ ผู้หญิงมักทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น การเผชิญกับสภาวะแวดล้อมหลายอย่าง โดยเฉพาะแสงแดดจะส่งผลให้ใบหน้าหมองคล้ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่โดนแสงแดดเลย ดังนั้นจึง ๆ แปลกที่ผลิตภัณฑ์รวมทั้งเครื่องสำอางยี่ห้อต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติช่วยให้หน้าขาวใส จึงถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะ เพราะผู้หญิงขึ้นชื่อว่าเป็นเพศรักสวยรักงามที่สุดในโลก (คงไม่เถียงหมอนะคะ แต่การใช้เครื่องสำอางเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าใช้แล้วจะดีกับทุกคน บางครั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นกับผิวหน้าได้ ฉะนั้นหากคุณใช้ไปแล้วมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ใช้เครื่องสำอางไปนาน ๆ แล้วเกิดหน้าดำละก็... หยุดค่ะ ! หยุดใช้เครื่องสำอางตัวนั้นทันที แล้วรีบไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษา หากมาล่าชาก็จะต้องใช้เวลารักษาหน้ากันนานกว่าจะสวยเหมือนเดิมนะคะ
วงการแพทย์ปัจจุบัน ก็ได้พยายามคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ เพื่อทำให้ใบหน้าขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ได้ผลดี และปลอดภัย ดังนั้นเมื่อคุณมีปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำควรรีบไปปรึกษากับแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการตรวจสภาพผิวหน้า และใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม วิธีที่จะทำให้ผิวหน้าขาวใสมีด้วยกันหลายวิธีที่นิยมใช้กันได้แก่
1. การรักษาด้วยเครื่องไอออนโตโฟรีซีส ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ประจุไฟฟ้าเป็นตัวช่วยนำยาเข้าสู่ผิวหนัง โดยตัวยาที่ใช้เป็นกลุ่ม วิตามิน ซี เพื่อลดการสร้างเม็ดลี และบำรุงเซลล์ให้ดูสดใส
2. การรักษาด้วยเครื่องโฟโนโฟรีซีส เป็นเครื่องมือที่ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์กระตุ้นให้ตัวยาเข้าสู่ผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน ซี เช่นเดียวกัน
3. การรักษาด้วย AHA Treatment เป็นการใช้ AHA (กรดผลไม้) ทาผิวหน้า เพื่อทำให้เซลล์ที่หมองคล้ำของผิวหน้าในชั้นหนังกำพร้าส่วนบนหลุดลอกออกง่ายขึ้น พร้อมกับกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ที่สดใสขึ้น
4. การใช้ยาหรือเวชสำอาง เช่น ยากลุ่ม วิตามิน ซี กลุ่ม AHA หรือยาที่ช่วยลดรอยดำด่าง ๆ โดยในการรักษา หมออาจจะพิจารณาใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันในการรักษาผิวหน้าของคุณ และเพื่อให้ได้ผลดีและเร็วขึ้น หลังการรักษาไปแล้วคุณควรเอาใจใส่ในการดูแลผิวหน้าหน่อยนะคะ และควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้ผิวหน้าหมองคลาขึ้นอีก โดยควรปฏิบัติปกป้องถนอมผิวหน้าไว้ดังนี้ค่ะ (ห้ามลืมนะคะ)
1. ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ เมื่อออกกลางแจ้งควรสวมหมวก หรือกางร่ม
2. ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้องกันรังลีทั้ง UVA และ UVB และควรพิจารณาเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป หากต้องไปในที่แสงแดดจัด ๆ ก็ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงขึ้น
3. หากพบว่าเครื่องสำอางใดเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยหมองคล้ำ หรือดำขึ้น ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์นั้นโดยเด็ดขาด และควรทดสอบเครื่องสำอางก่อนใช้กับใบหน้าทุกครั้ง
4. ควรพักผ่อนอย่างเพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี จะช่วยให้ใบหน้าสดใสอยู่เสมออย่างไรก็ตามปัญหาเกี่ยวกับผิวหน้ามีหลายลักษณะด้วยกัน ดังนั้นเมื่อมีปัญหาเรื่องผิวหน้าหมองคล้ำ ควรไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้คำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องต่อไปส่วนเรื่องของค่ารักษาหรือการดูแลผิวจะแตกตางกันค่ะ ขึ้นอยู่ที่วิธีการของหมอที่จะทำการรักษาให้ รวมถึงชนิดของยาต่าง ๆ ที่ใช้ในการบำรุงผิว ขัดผิว หรือลอกผิว เพื่อให้ผิวหน้าขาวใสขึ้น และรวมถึงการใช้เครื่องมือบางชนิด เช่น เครื่องไอออนโต หรือเครื่องโฟโน ซึ่งราคาก็อาจจะแตกต่างขึ้นตามลำดับ แต่เพื่อผิวหน้าที่ขาวใส...หรือสำหรับใครบางคนของคุณ การรักษาผิวหน้าให้ขาวใสนวลเนียนน่าสัมผัสเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้พบเห็น และคุณเองก็มีจิตใจร่าเริงเบิกบานเมื่อรู้ตัวว่า “เขาคนนั้น” ของคุณเพิ่มความรักเอาเอาใจคุณยิ่งกว่าเดิม คุ้มค่าแก่การรักษาผิวหน้าให้ขาวใสปิ๊ง...จริง ๆ ใช่ไหมคะ

อาหารไทย

อาหารประเภทแกงต่าง ๆ


แกงหมายถึง วิธีการผสมอาหารหลาย ๆ สิ่งรวมกับน้ำ แยกเป็นแกงเผ็ดกับแกงจืด แกงจืดโดยมากต้องรับประทานร้อน ๆ จึงจะอร่อย ใส่น้ำมากกว่าแกงเผ็ด น้ำประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของเนื้อ เช่น เนื้อ 1 ส่วน น้ำ 3 ส่วนเนื้อในที่นี้หมายถึงเครื่องปรุงที่เป็นเนื้อสัตว์กับผัก ส่วนแกงเผ็ดยังแยกออกไปได้อีกหลายชนิด เช่น แกงคั่ว แกงส้ม แกงเผ็ด ฯลฯ


1. แกงส้ม


แกงส้ม เป็นแกงที่นิยมรับประทานในครอบครัวของคนไทย มีรสเปรี้ยว เค็ม หวานนิดหน่อย ใช้ผักที่มีตามท้องถิ่นนั้น ๆ ผักที่นิยมใช้แกงส้ม เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ดอกแค กะหล่ำปลี หน่อไม้ดอง ฯลฯ ส่วนเนื้อสัตว์ที่นำมาใช้กับแกงส้ม มีปลา กุ้งน้ำจืดและกุ้งน้ำเค็ม บางทีก็ใช้หอยแทนกุ้ง แกงส้มเป็นแกงที่ปรุงรสสามรส น้ำแกงที่ให้รสชาติอร่อยพอดีทั้งสามรสจะทำได้ยากกว่าแกงชนิดอื่นไม่เปรี้ยวจนเกินไป หรือเค็มขึ้นหน้า หรือมีรสหวานนำควรปรุงให้กลมกล่อมทั้งสามรส เช่น แกงส้มผักกระเฉดกับปลาช่อน แกงส้มดอกแคกับกุ้ง แกงส้มแตงโมอ่อนแกงส้มผักรวม ฯลฯ


2. แกงคั่ว


แกงคั่ว เป็นแกงที่ต้องใช้เนื้อสัตว์ประเภท ปลาย่าง ปลากรอบ หรือกุ้งแห้ง อย่างใดอย่างหนึ่งโขลกผสมกับเครื่องแกง เพื่อทำให้น้ำแกงข้น มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน แกงคั่วจะไม่ใส่เครื่องเทศ จะทำให้มีกลิ่นฉุน ผักที่นิยมใส่แกงคั่ว เช่น ผักบุ้ง สับปะรด เห็ด ฟักเขียว แกงคั่วจะใช้ผักเป็นหลัก ส่วนเนื้อ ปลา กุ้ง หอยเป็นส่วนประกอบรสชาติของแกงคั่วทั่ว ๆ ไปมีสามรส คือ เปรี้ยว หวาน เค็ม แต่แกงคั่วบางชนิดจะมีสองรส คือ เค็มกับหวาน เช่นแกงคั่วเห็ด หรือแกงที่มีลักษณะคล้ายแกงคั่วแต่มีรสชาติออกเค็มอย่างเดียว เช่น แกงขี้เหล็ก แกงป่าชนิดต่าง ๆเช่น แกงป่าปลาดุก แกงป่าเนื้อ แกงป่าปลาสับ แกงป่าไก่ ฯลฯ


3. แกงเผ็ด


แกงเผ็ด เป็นแกงที่ต้องใช้เนื้อสัตว์ในการปรุงเป็นหลัก มีผักเป็นส่วนประกอบ เนื้อสัตว์ที่นิยมนำมาประกอบได้แก่ เนื้อ หมู ไก่ กุ้ง ปลา ส่วนผักจะใช้ มะเขืออ่อน มะเขือพวง ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ฯลฯ ตกแต่งด้วยพริกชี้ฟ้าสีต่าง ๆ ใบมะกรูด ใบโหระพาปรุงรสด้วยน้ำปลา ให้ความเค็ม มีน้ำตาลเล็กน้อย เพราะแกงเผ็ดได้ความหวานจากกะทิ แกงเผ็ดสำคัญอยู่ที่การปรุงน้ำพริก ต้องปรุงให้ถูกส่วน โขลกน้ำพริกให้ละเอียด เช่น แกงเผ็ดเนื้อ ไก่ หมู กุ้งเนื้อ ปลากราย แกงเขียวหวาน ฯลฯ แกงเผ็ดแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แกงเผ็ดที่ไม่ใส่กะทิเรียกว่า แกงป่าและแกงเผ็ดที่ใส่กะทิซึ่งใช้พริกแห้งมีสีแดง เรียกว่า แกงเผ็ด ถ้าใช้พริกสดสีเขียวเรียกว่า แกงเขียวหวาน


4. ผัดเผ็ด - พะแนง


ผัดเผ็ด - พะแนง เป็นอาหารที่จัดอยู่ในพวกแกงเผ็ด เพียงแต่มีน้ำกะทิหรือน้ำน้อยกว่าแกงเผ็ด การประกอบอาหารประเภทนี้ทำเช่นเดียวกับแกงเผ็ด ลักษณะจะมีน้ำแบบขลุกขลิก หรือแห้ง ๆ ปรุงรส เค็ม หวานนิดหน่อยเช่น ผัดเผ็ดกบ ผัดเผ็ดปลากราย ผัดเผ็ดหมูป่า ส่วนพะแนงก็มีลักษณะเหมือนแกงเผ็ด เนื้อสัตว์ที่ใช้ต้องเคี่ยวให้นุ่ม การปรุงรส มีรสหวาน เค็ม พอดี ตกแต่งด้วยพริกชี้ฟ้าสด ใบมะกรูด ใบโหระพา


5. แกงเลียง


แกงเลียง เป็นแกงที่ประกอบด้วยน้ำพริก ผัก เนื้อสัตว์ น้ำแกงและเครื่องปรุงรส น้ำพริกแกงเลียงจะแปลกกว่าแกงชนิดอื่น ๆ เพราะมีพริกไทย หัวหอม กะปิ กุ้งแห้ง ปลาย่างหรือปลากรอบ น้ำแกงมีลักษณะข้น ผักที่นิยมใส่ที่สามารถบอกลักษณะว่าเป็นแกงเลียง คือ ใบแมงลักมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน นอกจากนั้นยังมีผัก เช่น ตำลึงฟักทองข้าวโพดอ่อน หัวปลี บวบ ผักหวาน ฯลฯ เนื้อสัตว์ได้แก่ กุ้งสด เนื้อไก่ ฯลฯ ปรุงรสด้วยน้ำปลาหรือเกลือ


6. ต้มยำ


ต้มยำ เป็นอาหารที่ประกอบด้วยเนื้อสัตว์เป็นหลัก มีผัก น้ำเปล่าหรือน้ำซุป ปรุงรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ดเล็กน้อย เนื้อสัตว์ได้แก่ กุ้งสด หมู ไก่ ปลา ฯลฯ ผักที่สามารถบอกลักษณะได้ว่าเป็นต้มยำ คือ ตะไคร้ ใบมะกรูด ผักประกอบอื่น ๆ ได้แก่ เห็ดนางฟ้า กะหล่ำปลี เห็ดฟาง ฯลฯ ปรุงรสด้วย น้ำมะนาว น้ำมะขามเปียก น้ำปลา ต้มยำแบ่งได้เป็น2 ประเภท คือ ต้มยำที่ไม่ใส่กะทิ เช่น ต้มยำกุ้ง ต้มยำหัวปลา ต้มยำที่ใส่กะทิเช่น ต้มยำหัวปลี


7. แกงจืด


แกงจืด เป็นอาหารที่ต้องรับประทานร้อน ๆ จึงจะอร่อยและคล่องคอ มีส่วนประกอบของน้ำประมาณ 3 ใน 4ส่วนของเนื้อ ก่อนปรุงแกงจืดต้องต้มกระดูกทำน้ำซุป กรองแล้วนำขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง จึงนำมาแกง เวลาแกงต้องให้น้ำเดือดพล่าน ใส่เนื้อสัตว์ลงไปก่อน จึงใส่ผัก ผักที่ใช้ต้องเลือกว่าชนิดไหนสุกเร็ว หรือบางชนิดต้องเคี่ยวนาน ถ้าเป็นผักที่ต้องเคี่ยวจนเปื่อยก็ใส่พร้อมเนื้อสัตว์ได้ เช่น การต้มจับฉ่าย การต้มน้ำแกงจืด ใช้กระดูกไก่ กระดูกหมูทุบตามข้อให้แตก แช่น้ำเย็นไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงใส่น้ำให้มากเติมเกลือนิดหน่อยยกขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำซุปงวดยกลงกรองพักไว้ นำกระดูกที่ต้มแล้วใส่น้ำยกขึ้นตั้งไฟใส่หัวผักกาดขาว ขื่นฉ่าย ลงต้ม เพื่อทำให้น้ำซุปหวานยิ่งขึ้น แล้วนำมากรองด้วยผ้าขาวบางผสมกับน้ำซุปครั้งแรกนำไปทำน้ำแกงจืด